ภาพประกอบหัวข้อการดาวน์เกรด (Downgrade) ใน Google Workspace (Downgrade in Google Workspace)

การดาวน์เกรด (Downgrade) ใน Google Workspace

สำหรับบริษัทหรือองค์กรที่ใช้งาน Google Workspace หรือหลายท่านอาจคุ้นกับชื่อเดิม (G Suite) ชุดบริการบนคลาวด์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันขององค์กร ซึ่งประกอบด้วย Email, Google Drive, Google Meet, Google Docs, Google Sheets และ Google Slides เป็นต้น ซึ่งมีแผนบริการหลักๆอยู่ 4 ประเภทให้เลือกใช้งานตามความต้องการที่เหมาะสมกับบริษัทหรือองค์กรนั้นๆ คือ Business Starter, Business Standard, Business Plus หรือ Enterprise

ซึ่งบริษัทหรือองค์กรที่ใช้งานมาซักระยะ ในบางกรณีองค์กรอาจมีเหตุผลที่ต้องการ ดาวน์เกรด (Downgrade) แผนบริการอาจจะเพื่อลดต้นทุน หรือ เพื่อปรับให้ตรงกับการใช้งานจริง บทความนี้จะอธิบายถึงกระบวนการและข้อควรระวังเบื้องต้นเมื่อต้องการการดาวน์เกรด Google Workspace

สาเหตุของการดาวน์เกรด Google Workspace

  • แผนบริการที่ใช้งานอยู่เป็นแผนที่เกินกว่าความต้องการใช้งานของผู้ใช้งาน ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ฟีเจอร์หรือพื้นที่เก็บข้อมูลที่มากเกินไป
  • ต้องการควบคุมงบประมาณต้องการลดต้นทุนในส่วนนี้ลงเพื่อให้ไม่สูญเสียค่าใช้จ่ายมากเกินความจำเป็น

เราจะดาวน์เกรด Google Workspace ได้เมื่อไหร่และอย่างไร ?

ในกรณี ดาวน์เกรด Google Workspace ที่เราจะพูดถึงกันในบนความนี้เป็นการดาวน์เกรด Google Workspace Google Workspace กับทางผู้ให้บริการ Google Workspace ที่เป็น Reseller กับทาง Google โดยตรงโดยหากท่านใช้งานกับทาง Reseller อยู่แล้วนั้นท่านสามารถแจ้งกับผู้ให้บริการที่ท่านใช้บริการอยู่โดยขอคำแนะนำจากผู้ให้บริการและแจ้งความต้องการที่ต้องการดาวน์เกรด เพื่อให้ผู้ให้บริการแนะนำแผนบริการขั้นที่รองลงมาจากที่ท่านใช้งานอยู่

ช่วงที่จะทำการดาวน์เกรด Google Workspace คือช่วงระหว่างการต่ออายุระบบซึ่งท่านต้องปรึกษาและเตรียมตัวทุกอย่างให้พร้อมก่อนที่จะถึงช่วงต่ออายุระบบเพื่อให้การดาวน์เกรด สำเร็จได้อย่างราบรื่นไม่ส่งผลต่อการใช้งาน

ข้อควรระวังหรือสิ่งที่ต้องกัดการเมื่อต้องการดาวน์เกรด Google Workspace

เมื่อเปลี่ยนแผนบริการลงมายังแผนบริการที่ต่ำกว่าแผนบริการเดิมที่ใช้งานย่อมมีผลกระทบเล็กน้อยที่ผู้ใช้งานต้องทราบร่วมกัน และปรับการใช้งานในบางอย่างเช่น

  • การลดพื้นที่เก็บข้อมูล แผนบริการที่ต่ำลงมาจะมีพื้นที่เก็บข้อมูลลดลงด้วย ดังนั้นควรตรวจสอบพื้นที่ที่ใช้อยู่ปัจจุบันเพื่อให้แน่ใจว่าไม่เกินแผนบริการที่จะเปลี่ยนไปใช้งานเพื่อป้องกันพื้นที่เต็มได้
  • การปรับลดโควต้าผู้ใช้งานให้ลดลงจากแผนบริการเดิมช่วงที่ดาวน์เกรด ต้องปรับโควต้าผู้ใช้งานในตรงตามจำนวนที่จะดาวน์เกรดเพื่อป้องกัยปัญหาที่จะเกิดขึ้นในช่วงดาวน์เกรด
  • ต้องศึกษาความแตกต่างของแผนบริการที่จะดาวน์เกรดไปใช้งานก่อน ว่ามีความแตกต่างอย่างไรกับ แผนบริการปัจจุบัน และจะต้องเสียฟังก์ชันการใช้งานส่วนใดไปบ้างเพื่อแจ้งกับผู้ใช้งานให้ทราบก่อนทำการดาวน์เกรด
  • หากทำการ ดาวน์เกรดไปใช้งานแผนบริการที่ตำกว่าแล้วจะไม่สามารถกลับมาใช้งานแผนบริการปัจจุบันได้อีกในรอบต่ออายุรอบปีนั้นๆ หรือในบางกรณีหากต้องการกลับมาใช้งานแผนบริการเดิมหรือสูงกว่าจะต้องชำระค่าบริการของแผนบริการใหม่เพิ่มเติม
  • การสูญเสียฟีเจอร์ขั้นสูงบางอย่างที่แผนบริการเดิมมี เช่น การบันทึกการประชุมใน Google Meet, ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย และฟีเจอร์บางอย่างที่มีในเฉพาะแผนบริการนั้นๆจะไม่มีในแผนที่ต่ำกว่า

ข้อมูลโดยสรุป

การดาวน์เกรด Google Workspace เป็นวิธีที่องค์กรสามารถควบคุมงบประมาณและควบคุมการใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนไปในองค์กร ซึ่งสามารถทำได้แต่ควรมีการประเมินผลกระทบอย่างรอบคอบและแจ้งผู้ใช้งานภายในองค์กรให้ครบถ้วนเพื่อเตรียมการก่อนการเปลี่ยนแปลงและเพื่อให้แน่ใจว่าการทำงานขององค์กรจะไม่สะดุดหรือเกิดปัญหาจากการสูญเสียฟีเจอร์ที่สำคัญบางประการไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่น่าสนใจ

ภาพประกอบหัวข้อเลือกใช้งาน Windows แบบไหนดี ? (Which type of Windows should I choose to use?)

เลือกใช้งาน Windows แบบไหนดี ?

Windows คือจุดเริ่มต้นในการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ และ Laptop ฉนั้นการเลือกใช้งาน Windows ให้ถูกต้องตามจุดประสงค์การใช้งานย่อมตอบโจทย์มากกว่า มาดูวิธีการเลือกใช้งานกัน

Windows คืออะไร ?

Windows คือ ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Microsoft เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาให้เพื่อให้สามารถใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และ Laptop ได้อย่างสะดวกขึ้น โดย Windows 11 เป็นระบบปฏิบัติการล่าสุดที่มีให้บริการอยู่ขณะนี้

Windows มีแบบใดบ้าง

Windows ลิขสิทธิ์แท้มีหลายแบบให้เลือกใช้งานดังนี้

  • Home/Family คือ สำหรับใช้ภายในครัวเรือน และครอบครัว
  • Education คือ สำหรับใช้เพื่อการศึกษา หรือ ในสถานศึกษา
  • Non-Profit คือ สำหรับหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไร
  • Commercial คือ สำหรับใช้เพื่อการพาณิชย์

เลือกใช้งาน Windows แบบไหนดี ?

การเลือกใช้งาน Windows ควรเลือกให้ตรงตามสิทธิ์ของ Windows และลิขสิทธิ์ที่ถูกต้อง

ซื้อ Windows ลิขสิทธิ์แท้ได้อย่างไร ?

สามารถซื้อ Windows ลิขสิทธิ์แท้ราคาถูกได้จากตัวแทนจำหน่ายของ Microsoft

Key ของ Window ลิขสิทธิ์แท้มีจำหน่ายแบบใดบ้าง ?

Windows ลิขสิทธิ์แท้มีจำหน่าย Key หลายรูปแบบ ดังนี้

  • FPP คือ แบบที่จำหน่ายเป็นกล่องที่มาพร้อมกับ CD, Flash drive และ CD Key ที่เห็นกันตามห้างสรรพสินค้า
  • OEM คือ แบบที่แถมมากับตอนซื้อเครื่อง จะราคาถูกเพราะราคารวมกับราคาเครื่องที่เราซื้อมาไปแล้ว
  • CSP คือ แบบที่ Login เข้าไป เพื่อไปนำ Key จาก Web Microsoft โดยตรง
  • Volume Licensing คือ แบบที่ขายมากกว่า 5 License สำหรับองค์กร

จะรู้ได้อย่างไรว่า Windows ที่ใช้งานนั้นเป็นลิขสิทธิ์แท้ ?

Windows ลิขสิทธิ์แท้แต่ละแบบจะมีวิธียืนยันว่าเป็นลิขสิทธิ์แท้ ดังนี้

  • FPP คือ กล่องที่ซื้อมา, Sticker หลังกล่อง, ใบเสร็จรับเงิน
  • OEM คือ Sticker ที่ติดมากับเครื่อง, ใบเสร็จรับเงิน
  • CSP คือ Product Key, ใบเสร็จรับเงิน
  • Volume Licensing คือ เอกสารตอนที่ซื้อมา

ดังนั้นหากอยากทราบว่า Windows ที่ใช้อยู่เป็นของแท้หรือไม่ สิ่งง่าย ๆ คือ สามารถยืนยันสิทธิ์ตามข้อมูลด้านบนได้หรือไม่ หากมีหน่วยงานภายนอกมาตรวจสอบ หรือการสั่งซื้อสินค้านั้นได้มีข้อมูลตามข้อมูลด้านบนครบถ้วนหรือไม่

ข้อมูลโดยสรุป

การเลือกใช้งาน Windows ควรเลือกให้ตรงตามสิทธิ์ของ Windows และลิขสิทธิ์ที่ถูกต้อง ซึ่งการจะรู้ได้อย่างไรว่า Windows ที่ใช้งานนั้นเป็นลิขสิทธิ์แท้ ต้องสามารถยืนยันสิทธิ์ตามข้อมูลด้านบนได้หรือไม่ หากมีหน่วยงานภายนอกมาตรวจสอบ หรือการสั่งซื้อสินค้านั้นได้มีข้อมูลตามข้อมูลด้านบนครบถ้วนหรือไม่

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่น่าสนใจ

ภาพประกอบหัวข้อWhitelist/Blacklist Email ผู้ส่ง (Sender) Google Workspace (Whitelist/Blacklist Email Sender (Sender) Google Workspace)

Whitelist/Blacklist Email ผู้ส่ง (Sender) Google Workspace

ในระบบอีเมลของ Google Workspace การจัดการกับผู้ส่งอีเมลเป็นสิ่งสำคัญ โดยถึงระบบจะมีการกรอกอีเมลและป้องกันไว้อยู่แล้วแต่อาจมีอีเมลจากผู้ไม่หวังดีบางฉบับที่ยังส่งเข้ามาได้และอาจมีอีเมลจากผู้ติดต่อจริงบางฉบับที่ไม่สามารถส่งเข้ามาได้ การได้รับอีเมลขยะ (Spam) หรืออีเมลฟิชชิง (Phishing) สามารถก่อให้เกิดความไม่สะดวกและอาจทำให้เกิดความเสียหายทางธุรกิจได้ การจัดการ Whitelist และ Blacklist ผู้ส่งอีเมลเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันปัญหาเหล่านี้

  • Whitelist Sender ช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าอีเมลจากผู้ส่งที่เชื่อถือได้จะไม่ถูกบล็อกหรือถูกส่งไปยังโฟลเดอร์สแปม / Junk
  • Blacklist Sender จะช่วยบล็อกอีเมลจากผู้ส่งที่ไม่พึงประสงค์ หรือผู้ที่มีประวัติการส่งอีเมลที่เป็นอันตราย

วิธีการ Whitelist ผู้ส่งใน Google Workspace

1.เข้าสู่ระบบ Google Admin Console ที่ admin.google.com

2.ไปที่ Apps > Google Workspace > Gmail > Spam, Phishing, and Malware

3.เลือก Blocked senders จากนั้นคลิก Configure

4. หัวข้อที่ 3.Options > Create or edit list

5. กด Add Address List

6.ตั้งชื่อ Address List > กด Add Adress และ เพิ่มรายชื่ออีเมลที่ต้องการ Whitelist จากนั้นกด Save

7.กลับมาที่หัวข้อ 3.Options > กด Use existing list > จากนั้นเลือก Address Listที่สร้างไว้

8. กด Save


วิธีการ Blacklist ผู้ส่งใน Google Workspace

1.สามารถทำตามขั้นตามการ Whitelist ได้เมื่อถึงขั้นตอนที่ 4 > เลือกหัวข้อที่ 1 > Create or edit list

2. กด Add Address List

3. ตั้งชื่อ Address List > กด Add Adress และ เพิ่มรายชื่ออีเมลที่ต้องการ Whitelist จากนั้นกด Save

4. กลับมาที่ 1. ป้อนคำอธิบายสั้นๆ > กด Use existing list > จากนั้นเลือก Address List ที่สร้างไว้ > กด Save


ข้อมูลโดยสรุป

การจัดการ Whitelist และ Blacklist ผู้ส่งอีเมลใน Google Workspace เป็นวิธีที่เพิ่มประสิทธิภาพในด้านความปลอดภัย และ ลดปริมาณอีเมลขยะในกล่องจดหมาย การ Whitelist ช่วยให้มั่นใจว่าอีเมลสำคัญจะถูกส่งถึงผู้รับ ขณะที่การ Blacklist ช่วยป้องกันอีเมลที่ไม่พึงประสงค์และอันตราย ทั้งสองวิธีมีข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณา การจัดการที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการสื่อสารผ่านอีเมลภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่น่าสนใจ

ภาพประกอบหัวข้อวิธีนำอีเมลจาก Email Google Workspace เข้าไว้ใน Gmail  (How to import emails from Google Workspace Email into Gmail)

วิธีนำอีเมลจาก Email Google Workspace เข้าไว้ใน Gmail 

สำหรับการดึงข้อมูลอีเมลจากระบบอีเมลอย่าง Google Workspace หรือระบบอื่น ๆ ที่รองรับการทำงานของ POP3 มาเก็บไว้ยัง Gmail นั้นสามารถทำได้ดังนี้

วิธีการตั้งค่าเก็บข้อมูล

  • เริ่มต้นด้วยการ Login อีเมลเข้าไปยัง Gmail ที่ต้องการใช้เก็บข้อมูลและเข้าที่การตั้งค่า รูปเฟืองขวาบนของอีเมลนั้นๆ

  • เลือก Accounts and import และเข้าที่ ส่วน Check mail from other account กด Add a mail account เพื่อเริ่มขั้นตอน

  • จะมีหน้าต่างสีเหลือง ให้กรอกชื่ออีเมลที่ต้องการเพิ่ม กรอกเรียบร้อยแล้วกด Next

  • เลือก Import emails from my other account (POP3)

  • กรอกข้อมูล ผู้ใช้งาน , รหัสผ่าน , เซอร์ฟเวอร์ POP , พอร์ต ของระบบอีเมลที่อีเมลนั้นใช้งานอยู่
    และเลือก ติ๊ก ถูก ในช่องที่ต้องการให้ Gmail ดำเนินการ จากนั้นกด Add account

เมื่อทำการเพิ่มเรียบร้อยแล้วอีเมลจาก Google Workspace หรือระบบนั้น ๆ จะถูกดึงมาเก็บไว้ยัง Gmail ใน labels หรือ ป้ายกำกับ ตามชื่อที่กำหนดไว้ตามภาพด้านล่าง

ข้อมูลโดยสรุป

สำหรับวิธีการดึงข้อมูลอีเมลจากระบบอีเมลอย่าง Google Workspace หรือระบบอื่น ๆ ที่รองรับการทำงานของ POP3 มาเก็บไว้ยัง Gmail นั้นสามารถทำได้ตามวิธีการตามด้านบน ซึ่งหลักการของวิธีนี้จะคล้ายกันกับ การนำอีเมลไปแอด POP3 ใช้งานผ่านโปรแกรมตรวจสอบอีเมล เช่น Outlook โดยการดึงข้อมูลขาเข้าของอีเมลมาเก็บไว้ยัง Gmail เพื่อใช้เป็นการ Black up ข้อมูลได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องตรวจสอบอีเมลที่ดึงมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่จะทำการลบข้อมูลต้นฉบับออกจะเป็นการดีที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่น่าสนใจ

ภาพประกอบบทความสาเหตุที่ไม่พบอีเมลที่ส่งเข้ามาใน Inbox ของ GoogleWorkspace(Gmail) (The reason why emails sent into the Inbox of GoogleWorkspace (Gmail) cannot be found)

สาเหตุที่ไม่พบอีเมลที่ส่งเข้ามาใน Inbox ของ GoogleWorkspace(Gmail)

การใช้งานอีเมลอาจมีบางครั้งที่ผู้ติดต่อท่านแจ้งว่ามีการส่งอีเมลเข้ามาแล้ว แต่ท่านไม่พบอีเมลจากผู้ติดต่อดังกล่าว ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งเหตุการณ์นี้จะทำให้ท่านพลาดการติดต่ออาจผู้ติดต่อทางธุรกิจได้ โดยในบนความนี้เราจะมาหาสาเหตุและวืธีว่าสามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ ด้วยตนเองได้อย่างไรบ้าง

สาเหตุที่ไม่พบอีเมลจากผู้ติดต่อ ใน Inbox

สาเหตุเกิดได้จากหลายปัจจัยมาก ๆ ซึ่งที่เราสามารถตรวจสอบได้เบื้องต้นได้ด้านตนเองมีดังนี้

1. การกรองสแปม

อีเมลอาจถูกกรองว่าเป็นสแปมและย้ายไปอยู่ในโฟลเดอร์สแปม/Junkโดยอัตโนมัติ ตรวจสอบโฟลเดอร์สแปมเพื่อดูว่าอีเมลที่คุณรออยู่ที่นั่นหรือไม่ ตรวจสอบที่หัวข้อ Spam ตามในภาพด้านล่าง


2. การตั้งค่าโฟลเดอร์หรือฟิลเตอร์

ท่านอาจมีการตั้งค่าฟิลเตอร์ที่ทำให้อีเมลถูกย้ายไป labels หรือ ป้ายกำกับ แทนที่จะเข้ามาใน Inbox ตรวจสอบการตั้งค่าฟิลเตอร์ใน Gmail ตัวอย่างในภาพด้านล่างมีการตั้งค่าให้แยกอีเมลไปไว้ในป้างกำกับที่กำหนดไว้


3. การตั้งค่าการจัดหมวดหมู่

Gmail มีการจัดหมวดหมู่ต่าง ๆ เช่น หลัก โซเซียล โปรโมชั่น อัปเดต อีเมลอาจถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ที่ไม่ใช่หน้าหลัก ทำให้คุณไม่เห็นใน Inbox ลองคลิกตรวจสอบตามหมวดหมู่ดูเพิ่มเติมในกรอบตามภาพด้านล่าง

4. การบล็อกหรือการตั้งค่าด้านความปลอดภัย

หากผู้ส่งอีเมลถูกบล็อกหรือโดเมนของพวกเขาถูกตั้งค่าด้านความปลอดภัย อีเมลอาจไม่ถูกส่งไปยัง Inbox ของท่าน เข้าไปตรวจสอบการตัวกรองและที่ถูกบล็อกไว้ ตามภาพด้านล่าง ตัวอย่างในภาพคือการตั้งค่าว่าฉบับที่มีคำว่า “เงินกู้” ให้ทำการลบทิ้ง หรืออาจมีการตั้งค่า บล็อกผู้ส่ง หรือ โดเมนผู้ส่งนั้น ๆไว้

5.การเก็บอีเมลใน labels หรือ ป้ายกำกับอื่นๆ

การย้ายอีเมลไปเก็บไว้ใน labels หรือ ป้ายกำกับอื่นๆ ที่มีการสร้างไว้โดยข้อกำหนดต่าง ๆ เช่นอีเมลจากผู้ส่งนี้ให้ไว้ใน labels หรือ ป้ายกำกับ ชื่อนี้เป็นต้น ตรวจสอบได้ที่ด้านล่าง ซ้อยมือที่เมนู labels หรือ ป้ายกำกับ ตามภาพด้านล่าง

ข้อมูลโดยสรุป

สาเหตุหลัก ๆ ของการไม่พบอีเมลใน Inbox นั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุซึ่งการตรวจสอบสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้โดยวิธีตามด้านบน อย่างไรก็ตามการที่ไม่พบอีเมลนั้นยังเกิดได้จากหลายสาเหตุมากกว่าที่มีการยกตัวอย่างมาข้างต้น ซึ่งการตรวจสอบจะละเอียดและยากขึ้นมากกว่าที่ผู้ใช้งานทั่วไปจะสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเอง ดังนั้นหากท่านเป็นผู้ใช้งาน GoogleWorkspace อยู่แล้วนั้นสามารถแจ้งปัญหาผู้ให้บริการระบบอีเมลของท่านตรวจสอบหาสาเหตุและแก้ไขปัญหาให้ท่านได้อย่างถูกต้องตรงจุดอย่างรวดเร็ว ซึ่งเทคโนโลยีแลนด์คือหนึ่งในผู้ให้บริการอีเมลบริษัทระบบ GoogleWorkspace สามารถสอบถามการทำอีเมลบริษัทระบบ GoogleWorkspace ได้เลย

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่น่าสนใจ



ภาพประกอบหัวข้อGoogle Workspace ได้พื้นที่เก็บข้อมูลเท่าใด และมีพื้นที่ขนาดเท่าใดให้เลือกใช้บ้าง ? (How much storage does Google Workspace get? And how much space is there to choose from?)

Google Workspace ได้พื้นที่เก็บข้อมูลเท่าใด และมีพื้นที่ขนาดเท่าใดให้เลือกใช้บ้าง ?

Google Workspace มีการจัดสรรพื้นที่เก็บข้อมูลให้แตกต่างกันไปตามแผนบริการที่มีให้ลูกค้าเลือกใช้บริการ โดยทั่วไป Google Workspace จะมีแผนบริการหลัก ๆ ดังนี้

แผนบริการ Google Workspace
พื้นที่เก็บข้อมูลอีเมลและ Drive /User
Google Workspace Business Starter
30 GB
Google Workspace Business Standard
2 TB
Google Workspace Business Plus
5 TB
Google Workspace Enterprise
พื้นที่เก็บข้อมูล ไม่จำกัด
แผนบริการ Google Workspace


ตรวจสอบว่าใช้งานแผนบริการใดของ Google Workspace อยู่

ซึ่งสำหรับท่านที่ใช้งาน Google Workspace แล้วไม่ทราบว่าบริษัทของตนใช้งาน แผนบริการใดอยู่สามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆโดยไม่ต้องผ่านผู้ดูและระบบ(Admin)ดังนี้

  • เข้าสู่ระบบอีเมล Google Workspace ของตนเอง
  • ตรวจสอบพื้นที่ของ Google Drive ว่ามีพื้นที่ตรงกับ แผนบริการเช่น 30 GB เท่ากับท่านใช้งาน Google Workspace Business Starter

กรณีต้องการเพิ่มพื้นที่สำหรับ Google Workspace

ในปัจจุบันไม่สามารถซื้อพื้นที่เพิ่มเติมจากแผนบริการที่ใช้งานอยู่ได้แล้ว โดยหากต้องการเพิ่มพื้นที่จากแผนบริการเดิมจะต้องทำการเปลี่ยนไปใช้งานแผนบริการขั้นถัดไปที่จะได้พื้นที่เพิ่มเติมโดยต้องเปลี่ยนทุก User ในโดเมนนั้นๆ ไม่สามารถเปลี่ยนบาง User ได้

ข้อมูลโดยสรุป

สำหรับแผนบริการของทาง Google Workspace มีให้เลือกใช้บริการหลายแบบทำให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้ตามความต้องการของธุรกิจหรือองค์กรของตนเองได้อย่างเหมาะสมโดนท่านที่ไม่ทราบว่าตนใช้งานแผนบริการใดอยู่สามารถตรวจสอบได้ด้านตนเองโดยวิธีการที่แนะนำด้านบน ซึ่งการปรับเพิ่มพื้นที่ในปัจจุบันอาจไม่ยืดยุ่นมากนั้นเนื่องจากต้องปรับทั้งหมดในโดเมนนั้น ๆจึงทำให้มีค่าบริการ Google Workspaceที่สูงขึ้นมากจากเดิมแต่ก็แลกมาด้วยพื้นที่ที่มากขึ้นอย่างมาก

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่น่าสนใจ

ภาพประกอบหัวข้อถ้าเผลอลบข้อมูล Google Drive ไปแล้วจะกู้คืนได้ไหม ? (If I accidentally delete my Google Drive data, can I recover it?)

ถ้าเผลอลบข้อมูล Google Drive ไปแล้วจะกู้คืนได้ไหม ?

สำหรับผู้ใช้งาน Google workspace การเก็บข้อมูลใน Google Drive เป็นวิธีที่สะดวกและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานระบบอีเมลองค์กร ซึ่งหากท่านเผลอลบข้อมูลที่สำคัญไป จะทำให้เกินความกังวลว่าไฟล์เหล่านั้นจะสูญหายไปตลอดกาลหรือไม่ ในบทความนี้เราจะมาแนะนำวิธีการตรวจสอบเบื้องต้นและกู้คืนข้อมูลใน Google Drive ที่ถูกลบไปแล้วได้หรือไม่และทำได้อย่างไร

ตรวจสอบถังขยะ (Trash)

ในกรณีลบไฟล์ออกจากใน Google Drive แล้วนั้นข้อมูลจะถูกระบบย้ายไปเก้บไว้ยัง ถังขยะ (Trash) ก่อนโดยจะอยู่ที่นั่นประมาณ 30 วัน นับตั้งแต่วันที่กดลบข้อมูล โดยหากยังพบข้อมูลอยู่ใน ถังขยะ (Trash) นั้นแปลว่ายังสามารถกู้คืนข้อมูลนั้นๆ กลับมายัง Google Drive ได้โดยสามารถดำเนินการได้ตามวิธีด้านล่าง

  • เข้าสู่ระบบ Google Drive ผ่านเบราว์เซอร์
  • คลิกที่ “ถังขยะ” หรือ “Trash” ทางด้านซ้ายมือ
  • เลือกไฟล์ที่ต้องการกู้คืน
  • คลิกขวาที่ไฟล์ที่ต้องการแล้วเลือก “กู้คืน” หรือ “Restore”

กรณีไม่พบข้อมูลในถังขยะ (Trash) หรือลบออกไปนานกว่า 30 วันแล้ว

หากข้อมูลถูกลบไปนานกว่า 30 วันและไม่สามารถกู้คืนจากถังขยะ ท่านอาจต้องลองติดต่อ Google Support เพื่อขอความช่วยเหลือจากทาง Google โดยตรงที่หน้า Admin ของ User ที่มีสิทธิ Admin ของระบบ

ข้อมูลโดยสรุป

การกู้คืนข้อมูลใน Google Drive ที่ถูกลบไปแล้วสามารถทำได้หากดำเนินการอย่างรวดเร็วและถูกวิธี โดยขั้นตอนแรกคือการตรวจสอบถังขยะ หากไฟล์ยังอยู่ในถังขยะสามารถกู้คืนได้ทันที หากไม่พบไฟล์ในถังขยะแล้วหรือหากข้อมูลถูกลบไปนานกว่า 30 วัน สามารถขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลระบบ Google workspace ที่ท่านใช้งานอยู่ เช่น บริษัท เทคโนโลยีแลนด์ จำกัด แนะนำการติดต่อ Google Support เป็นทางเลือกในการสอบถามวิธีการและกู้คืนข้อมูล

อย่างไรก็ตามการสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงในการสูญหายของข้อมูลในอนาคตได้เช่นกัน

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่น่าสนใจ

ภาพประกอบหัวข้อGoogle Workspace สามารถใช้งานได้กี่อุปกรณ์ ? (How many devices can Google Workspace be used on?)

Google Workspace สามารถใช้งานได้กี่อุปกรณ์ ?

Google Workspace คือหนึ่งในระบบอีเมลบริษัทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่บางคนคงยังสงสัยว่าหากต้องการใช้งาน ควรซื้อกี่ User ดี และ 1 User สามารถใช้งานได้กี่อุปกรณ์ บทความนี้มีบอก

Google Workspace คืออะไร ?

Google Workspace คือ ระบบอีเมลบริษัทที่ให้บริการโดย Google ซึ่งอีเมลนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Google Workspace เท่านั้น เพราะ Google Workspace มาพร้อมกับโปรแกรมต่าง ๆ อีก เช่น Docs, Sheet, Slides, Meet และโปรแกรมอื่น ๆ อีกมากมาย

Google Workspace สามารถใช้งานได้กี่อุปกรณ์ ?

Google Workspace 1 User สามารถใช้งานได้หลายอุปกรณ์ไม่มีข้อจำกัด

ควรซื้อ Google Workspace กี่ User ดี ?

การตัดสินใจซื้อ Google Workspace จำนวนกี่ User ดีนั้น ก็จะขึ้นอยู่กับว่าท่านต้องการใช้ชื่อ Google Workspace แตกต่างกันกี่ชื่อ เช่น ท่านมีพนักงาน 5 คน ต้องการให้เป็นอีเมลส่วนตัว 3 คน และอีก 2 คนให้เป็นอีเมลกลาง ท่านก็สามารถซื้อ Google Workspace เพียง 4 User เท่านั้น หรือ ท่านจะซื้อทั้ง 5 User ให้แต่ละคน และทำเป็น Group ก็สามารถทำได้

หากต้องการใช้ Google Workspace ราคาถูกทำได้อย่างไร ?

หากต้องการใช้ Google Workspace ราคาถูกต้องเป็นการใช้งานแบบ Hybird โดยปกติแล้ว 1 Domain นั้นจะสามารถใช้งานระบบอีเมลได้เพียงระบบเดียวเท่านั้น แต่ทางเราเทคโนโลยีแลนด์นั้นสามารถทำ Hybird ได้ โดยการใช้งานระบบอีเมล Google Workspace กับ Gocloud ของทางเรา ซึ่งจะทำให้ท่านสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 80% ตัวอย่าง ถ้าท่านใช้งาน Google Workspace Business Starter จำนวน 100 User ค่าใช้จ่าย 2,650 x 100 = 265,000 บาท แต่ถ้าท่านทำ Hybird โดยการใช้งาน Google Workspace Business Starter จำนวน 10 User ค่าใช้จ่าย 2,650 x 10 = 26,500 บาท และใช้งาน Email Gocloud 3 GB จำนวน 90 User ค่าใช้จ่าย 300 x 90 = 27,000 บาท ค่าใช้จ่ายสุทธิ 26,500 + 27,000 = 53,500 บาท ทำให้ท่านประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 211,500 บาท กันเลยทีเดียว

ข้อมูลโดยสรุป

Google Workspace คือ ระบบอีเมลบริษัทที่ให้บริการโดย Google ซึ่งอีเมลนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Google Workspace เท่านั้น เพราะ Google Workspace มาพร้อมกับโปรแกรมต่าง ๆ อีก เช่น Docs, Sheet, Slides, Meet และโปรแกรมอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่ง Google Workspace 1 User สามารถใช้งานได้หลายอุปกรณ์ไม่มีข้อจำกัด

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่น่าสนใจ

ภาพประกอบหัวข้อGoogle Drive คืออะไร ? (What is Google Drive?)

Google Drive คืออะไร ?

ทุกท่านที่ใช้งานอีเมลบริษัทระบบ Google Workspace มา แต่ยังไม่รู้ว่าใน Google Workspace นั้นมีอะไรที่มากกว่าระบบอีเมล มาทำความรู้จัก Google Drive ในบทความนี้กัน

Google Drive คืออะไร ?

Google Drive คือ หนึ่งในฟังชั่นที่มีมาให้ใน Google Workspace

Google Drive ทำหน้าที่อะไร ?

Google Drive ทำหน้าที่เป็นที่สำหรับเก็บไฟล์งาน หรือ รูปภาพต่าง ๆ และท่านยังสามารถแชร์ไฟล์งานของท่านที่อยู่ใน Drive นั้น ไปให้บุคคลที่ท่านต้องการสามารถเข้ามา ดู หรือ แก้ไข ไฟล์งานดังกล่าวได้อีกด้วย

Google Drive ได้พื้นที่เท่าไร ?

พื้นที่ของ Google Drive นั้นจะได้มากน้อยเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับ Plan ต่าง ๆ ที่ท่านใช้งาน Google Workspace รายละเอียดดังนี้

  • Google Workspace Business Starter ได้พื้นที่ 30 GB
  • Google Workspace Business Standard ได้พื้นที่ 2 TB
  • Google Workspace Business Plus ได้พื้นที่ 5 TB

แต่พื้นที่ของ Google Drive นั้นก็จะรวมกับพื้นที่อีเมลเช่นเดียวกัน

ข้อมูลโดยสรุป

Google Drive คือ หนึ่งในฟังชั่นที่มีมาให้ใน Google Workspace ซึ่ง Google Drive ทำหน้าที่เป็นที่สำหรับเก็บไฟล์งาน หรือ รูปภาพต่าง ๆ และท่านยังสามารถแชร์ไฟล์งานของท่านที่อยู่ใน Drive นั้น ไปให้บุคคลที่ท่านต้องการสามารถเข้ามา ดู หรือ แก้ไข ไฟล์งานดังกล่าวได้

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่น่าสนใจ

ภาพประกอบหัวข้อGoogle Workspace มี Plan ใดบ้าง ? (What plans does Google Workspace have?)

Google Workspace มี Plan ใดบ้าง ?

ทุกคนคงรู้จัก Google Workspace กันมาบ้างแล้ว เพราะเป็นหนึ่งในระบบอีเมลบริษัทที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะการทำอีเมลบริษัทระบบ Google Workspace นั้นไม่ยาก โดยเป็นระบบอีเมลที่ให้บริการโดย Google แต่บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Google Workspace นั้นมีให้บริการเป็น Plan ใดบ้าง บทความนี้มีบอก

Google Workspace คืออะไร ?

Google Workspace คือ ระบบอีเมลบริษัทที่ให้บริการโดย Google ซึ่งอีเมลนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Google Workspace เท่านั้น เพราะ Google Workspace มาพร้อมกับโปรแกรมต่าง ๆ อีก เช่น Docs, Sheet, Slides, Meet และโปรแกรมอื่น ๆ อีกมากมาย

Google Workspace มี Plan ใดบ้าง ?

รายละเอียดที่สำคัญ
Business Starter
Business Standard
Business Plus
ราคา
2,650 บาท / User / ปี
5,600 บาท / User / ปี
9,500 บาท / User / ปี
พื้นที่จัดเก็บ
30 GB / User
2 TB / User
5 TB / User
การประชุมทางวิดีโอและเสียง
(Google Meet)
ผู้เข้าร่วม 100 คน
ผู้เข้าร่วม 150 คน
ผู้เข้าร่วม 500 คน
บันทึกการประชุมไว้ใน Google Drive
มี
มี
ตารางราคาของ Google Workspace แต่ละ Plan

หากต้องการใช้ Google Workspace ราคาถูกทำได้อย่างไร ?

หากต้องการใช้ Google Workspace ราคาถูกต้องเป็นการใช้งานแบบ Hybird โดยปกติแล้ว 1 Domain นั้นจะสามารถใช้งานระบบอีเมลได้เพียงระบบเดียวเท่านั้น แต่ทางเราเทคโนโลยีแลนด์นั้นสามารถทำ Hybird ได้ โดยการใช้งานระบบอีเมล Google Workspace กับ Gocloud ของทางเรา ซึ่งจะทำให้ท่านสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 80% ตัวอย่าง ถ้าท่านใช้งาน Google Workspace Business Starter จำนวน 100 User ค่าใช้จ่าย 2,650 x 100 = 265,000 บาท แต่ถ้าท่านทำ Hybird โดยการใช้งาน Google Workspace Business Starter จำนวน 10 User ค่าใช้จ่าย 2,650 x 20 = 53,000 บาท และใช้งาน Email Gocloud 3 GB จำนวน 80 User ค่าใช้จ่าย 300 x 80 = 24,000 บาท ค่าใช้จ่ายสุทธิ 53,000 + 24,000 = 77,000 บาท ทำให้ท่านประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 188,000 บาท กันเลยทีเดียว

ข้อมูลโดยสรุป

Google Workspace คือ ระบบอีเมลบริษัทที่ให้บริการโดย Google ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบอีเมลบริษัทที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยที่ Google Workspace มีให้บริการหลากหลาย Plan ที่นิยมกันจะเป็น Plan Business Starter และ Business Standard

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่น่าสนใจ